สถานที่แรกที่เราจะไปกันก็คือ Meiji Shrine
ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไม้อันร่มรื่นเขียวขจี ท่ามกลางเมืองใหญ่อย่างย่านชินจูกุและชิบูย่า มีนักท่องเที่ยวแวะมาเยี่ยมเยือนกันตลอดทั้งปี นอกจากจะเป็นศาลเจ้าที่คนนิยมมาสวดมนต์ขอพรในช่วงปีใหม่แล้ว ที่นี่ยังเป็นสถานที่แต่งงานตามแบบประเพณีญี่ปุ่นโบราณที่คู่บ่าวสาวนิยมมาจัดงานกันอีกด้วย
วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Meiji-Jingumae(F15) exit 2
ถาพจาก Hyperdia |
ด้านหน้าทางเข้า |
พ่อเดินไม่รอแม่เลย 55 |
ศาลเจ้าMeijiครับ |
มีงานแต่งงานกันด้วยครับ |
พ่อกำลังเขียนขอพร |
แม่ก็เขียนขอด้วยครับ |
หลังจากไหว้พระขอพรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มื้อเช้าของเราวันนี้ มีเป้าหมายอยู่ที่ Midori Sushi ซูชิอร่อยๆอีกร้านในโตเกียว อยู่ใกล้ๆกับสถานี Shibuya
พิกัดร้าน : ให้สบตากับรูปปั้นฮาจิโกะ ในระยะที่สบตากันได้ แล้วเหลือบมองไปทางซ้ายมือ จะเป็นตึกตรงข้ามถนน นั่นคือตึก Mark City ร้านจะอยู่ที่ชั้น 4
ภาพจาก Hyperdia |
แต่เมื่อมาถึงร้าน ปรากฎว่าคิวยาวมากกกกกกกกกกก ผมจึงต้องจำใจเปลี่ยนไปหาข้าวเช้าที่ร้านอื่นกินแทน เดินไปจนทะลุถนนด้านหลังห้าง เจอร้านสเต๊กกับเบอร์เกอร์ร้านนึงเลยลองแวะทานดู(ไม่มีรูปหน้าร้านนะครับ)
อิ่มและอร่อยจิงๆ |
ชุ่มมากๆ |
หลังจากกินเสร็จแล้ว ก็เดินย้อนกลับมาถ่ายรูปที่5แยกชิบุย่ากันนิสนึง
5แยกอันโด่งดัง |
ฮาจิโกะ |
และแล้วก็ได้เวลา ที่เราจะเดินทางข้าม(แม่)น้ำ ไปยังเมือง Odaiba
Odaiba เป็นเกาะรวมความบันเทิงต่างๆของเมืองโตเกียว และเป็นเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง โดยการนำดินทรายมาถมทะเลให้เกิดขึ้นเป็นเกาะขึ้นมา ตั้งแต่ปีค.ศ. 1850
เกาะนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ และศักยภาพของคนญี่ปุ่น ที่สามารถสร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ขึ้นมา
วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงสถานี Shimbashi (G8) แล้วเปลี่ยนมานั่งรถไฟสาย Yurikamome เพื่อตรงเข้าสู่ Odaiba
ภาพจาก Hyperdia |
ภาพจาก Hyperdia |
วิวจากรถไฟฟ้าเข้า Odaiba |
วิวจากรถไฟฟ้าเข้า Odaiba |
พ่อถ่ายวีดีโอใหญ่เลย |
คนแน่นมากจริงๆ |
ปล.ต้องขอบคุณกล้อง Xiaomi พร้อมไม้เซลฟี่ ที่ผมใช้ยื่นออกไปถ่ายรูปริมหน้าต่างได้ชัดขนาดนี้ อิอิ
ขออนุญาติผมพูดถึง Odaiba ในความคิดของผมนิดนึงนะครับ...
เอาจริงๆแล้ว ควรจะมีเวลาเดินเล่นใน Odaiba ซักประมาณครึ่งวัน (4-6ชม.) เพราะที่นี่ห้างค่อนข้างเยอะ จุดถ่ายรูปก็มีหลายที่เลยทีเดียว
ถ้าพูดถึงขนาดของเมือง Odaiba แล้ว จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก...
ถ้าสำหรับวัยรุ่นที่สามารถเดินเที่ยวได้ทั้งวันแล้ว ก็สามารถซื้อตั๋วแบบเป็นเที่ยวเดียว นั่งรถไฟไปลงแค่ Odaiba-Kaihinkoen ป้ายเดียว แล้วก็สามารถเดินเที่ยวทั่วเกาะเลยได้ (แต่อาจต้องใช้แรงและเวลาเยอะหน่อย)
แต่สำหรับคนที่ขี้เกียจเดิน หรือพาผู้ใหญ่ไปด้วยแบบผมแล้ว แนะนำให้ซื้อตั๋ว One Day Pass ราคา 820เยนครับ จะสามารถขึ้นๆลงๆรถไฟภายใน Odaiba ได้โดยไม่จำกัดเที่ยว จะช่วยประหยัดเวลาและแรงเที่ยวของเพื่อนๆได้ครับ
ตั๋ว One Day Pass |
สถานีแรกที่เราจะไปลงคือ Odaiba-Kaihinkoen
ที่นี่จะมีห้าง Deck ให้เดินเลือกซื้อของได้มากมาย ด้านข้างของห้าง จะเป็นชายหาด สามารถที่จะเดินเล่นได้ครับ และเดินทะลุไปทางด้านหลังห้าง Deck จะมีห้าง Aqua City ห้างใหญ่อีกห้างนึง(ช้อปปิ้งกันสนุกเลยครับ 555)
ด้านหลังห้าง Aqua City จะมี1สัญลักษณ์ของ Odaiba นั่นก็คือ เทพีเสรีภาพจำลอง
เทพีเสรีภาพจำลอง |
ถ่ายรูปเสร็จแล้ว สำหรับวัยรุ่นอย่างเราๆ สามารถที่จะเดินข้ามไปที่ห้าง Diver City เพื่อไปชม กันดัมยักษ์ อีก1สัญลักษณ์ของ Odaiba ได้เลย
แต่ผมซื้อ One Day Pass มาเพื่อย่นระยะเดินให้พ่อกับแม่ โดยการที่นั่งรถไฟจากสถานี Daiba ไปลงสถานี Aomi ที่นี่จะมีห้าง Palette Town (ใครอยากช้อปอีก ก็ได้ตามใจเลยนะครับ) แต่จากห้างนี้ สามารถเดินย้อนกลับไปหา กันดัมยักษ์ ได้ไม่ไกลเท่าไหร่ครับ
ด้านหน้า(เดินลอดใต้ขาได้นะครับ) |
ด้านหลัง |
แช๊ะรูปคู่ซักหน่อย |
ถ่ายรูปเสร็จแล้ว ก็เดินเข้าไปในห้าง หาข้าวเที่ยงทานกันครับ ชั้น1ทางเข้าห้างมี Food Court อาหารหลากหลายเลือกได้ตามใจชอบเลยครับ ^^
หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว(ประมาณบ่าย3กว่าๆ ก็เดินย้อนกลับไปที่ห้าง Palette Town เพื่อไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ครับ
ปล.ชิงช้าสวรรค์ ถ้าไปเกิน4คน สามารถซื้อตั๋วกรุ๊ปได้ จะคุ้มกว่าซื้อตั๋วเดี่ยวๆนะครับ
ระหว่างต่อคิวซื้อตั๋ว |
สูงล่ะสิ อิอิ |
วิวจากยอดชิงช้า |
หลังจากเดินเล่นช้อปปิ้งกันจนหนำใจแล้ว ก็ได้เวลากลับที่พักของเราซักที โดยนั่งรถไฟจากสถานี Aomi กลับสถานี Shimbashi แล้วนั่งรถไฟใต้ดินกลับ Ikebukuro ครับ
ระหว่างทางเดินกลับโรงแรม พ่อกับแม่ผมอยากกลับโรงแรมก่อน ผมจึงได้แวะทานข้าวหน้าปลาดิบกันก่อน แล้วจึงค่อยกลับโรงแรมตามพ่อกับแม่ไปครับ
รูปหน้าร้าน (ยืมรูปจากสาขาUenoมาครับ แต่ที่ Sunshine Shopping Street ก็มีสาขา) |
เมื่อกลับถึงโรงแรมแล้ว ก็นั่งพักผ่อนแป๊บนึง แล้วจึงออกมาหาอะไรทานเป็นเพื่อนพ่อ (ส่วนแม่ขอนอนอยู่ห้องครับ กินดึกทุกวันกลัวอ้วน อิอิ)
ตอนแรกพ่อผมอยากกลับไปกินร้าน Yayoiken แต่ว่าคนเยอะมากกกกก ผมและพ่อจึงตัดสินใจที่จะลองร้านใหม่ ก็คือร้านที่อยู่ติดๆกับร้าน Yayoiken (น่าจะชื่อร้าน Hot Pepper นะครับ)เป็นร้านปิ้งย่างแบบญี่ปุ่นแท้ (ไม่มีรูปหน้าร้านนะครับ แต่ขอแปะแผนที่คร่าวๆให้ดูแทนอีกที)
(สามารถขอเมนูภาษาอังกฤษได้นะครับ)
ปล. web site ของร้านครับ http://www.hotpepper.jp/strJ000727979/?vos=cphppsocface20110701001
ปล.2 ในร้านอนุญาตให้สูบบุหรี่นะครับ ต้องระวังกลิ่นบุหรี่กันนิดนึง
พิกัดร้าน |
ปิ้งย่างพร้อมเบียร์ |
กับ Asahi Premium |
ทานกันพอกรึ่มๆแล้วก็กลับโรงแรมนอนครับ หลับสบายเลยที่เดียว zZzZzZ
พรุ่งนี้ : พักผ่อน, Shoppinggggggggggggggggggggggg
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น